ประวัติมวยไชยา (Muay Chaiya) ศาสตร์แห่งสยาม
มวยไทยไชยา จากหลักฐานและคำบอกเล่านั้นเริ่มต้นที่พ่อท่านมา ไม่มีใครทราบว่าท่านมีชื่อจริงว่าอย่างไร ทราบแต่เพียงว่าท่านเป็นครูมวยใหญ่ จากพระนคร บ้างก็ว่าท่านเป็นขุนศึก แม่ทัพแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวเมืองจึงเรียกเพียงว่าพ่อท่านมา ท่านได้เดินทางมาที่เมืองไชยา และได้ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ไว้ให้แก่ชาวเมือง และศิษย์ที่ทำให้มวยเมืองไชยาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในยุค ร.5 คือ พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย)
ปรมาจารย์ เขตร ศรียาภัย เคยกล่าวไว้ว่า ท่าย่างสามขุม ของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) อาจารย์โรงเรียนสวนกุหลาบฯ พ.ศ2464 (ซึ่งเป็นศิษย์เอกของ ปรมาจารย์ พระไชยโชคชกชนะ (อ้น) เจ้ากรมทนายเลือกครูมวยและครูกระบี่กระบองผู้กระเดื่องนาม ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5) และปรมาจารย์ ขุนยี่สานสรรพยากร (ครูแสงดาบ) ครูมวยและครูกระบี่กระบอง ลือชื่อ ในสมัย ร.6 นั้นมีความกระชับรัดกุม ตรงตามแบบท่าย่างสามขุมของท่านมา (หลวงพ่อ) ครูมวยแห่งเมืองไชยา ท่านนับเป็นต้นสายของมวยไชยา มรดกอันล้ำค่าของคนไทย
สมัยรัชกาลที่ 5 ในงานพระเมรุ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ ณ ท้องทุ่งพระเมรุป้อมเผด็จดัสกร กรุงเทพฯ ได้จัดให้มีการตีมวยหน้าพระที่นั่งครั้งใหญ่ เจ้าเมืองจากหัวเมือต่างๆได้จัดส่งนักมวยของตนลงแข่งขัน และได้มีนักมวยฝีมือดีอยู่ 3 คน ที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หมื่น” อันได้แก่
- หมื่นมวยมีชื่อ (ปล่อง จำนงทอง) มวยไชยา – ถนัดใช้ท่า เสือลากหาง เข้าทุ่มทับจับหักคู่ปรปักษ์
- หมื่นมือแม่นหมัด (กลิ้ง ไม่ทราบนามสกุล) มวยลพบุรี – ถนัดใช้หมัดตรง และหลบหลีก รุกรับ ว่องไว
- หมื่นชะงัดเชิงชก (แดง ไทยประเสริฐ) มวยโคราช – ถนัดใช้ท่า หมัดเหวี่ยงควาย ที่รุนแรง คว่ำปรปักษ์
จน มีคำกล่าวผูกเป็นกลอนว่า “หมัดดีโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา” จะเห็นได้ว่าผู้ที่เป็นนักมวยในสมัยนั้น ได้รับการยกย่องมาก เพราะบ้านเมืองสนับสนุน และเมืองที่มีมวยฝีมือดีก็จะได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองมวย” มวยไชยา นั้นเป็นที่นิยมแพร่หลาย ในเขตภาคใต้ตั้งแต่ ชุมพร หลังสวน ลงมาโดยมีเมืองไชยาเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ยังมีครูมวยหลายท่านที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย
ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติของไทยคือมวยไทย แต่นักมวยที่รู้จักมวยไทยแท้จริงนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว ต้องนึกถึงนักมวยที่มีรูปร่างแข็งแรงและแข็งแกร่งที่สุดที่ชื่อดังอย่างลุมพินี และราชดำเนิน สนามมวยชื่อดัง เมื่อสองคนเข้ารังต่อสู้กัน พวกเขาใช้เทคนิคการต่อสู้และกำลังที่สูงสุดในการแลกกันให้เจ็บทั้งคู่ มวยไทยไชยาเป็นหนึ่งในสาขาของมวยไทยที่แสดงออกถึงความเข้มแข็งอย่างชัดเจน
“มวยไทยไชยา” หรือ “พาหุยุทธ์มวยไทยไชยา” ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ยากที่จะหาชมได้ แต่มีสถานที่หนึ่งที่ให้การฝึกสอนวิชามวยไทยให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมไทยแท้ในรูปแบบที่คนไทยส่วนใหญ่เคยเห็นแต่ในหนังสือหรือภาพยนต์
อาจารย์ณปภพ ประมวญ หรือ “ครูแปรง” เป็นผู้สืบทอดวิชามวยไทยไชยาจากบูรพาจารย์ที่สืบสายวิชามวยที่ถูกลืมไปตั้งแต่มีกาที่มวย คาดเชือกถูกระงับการแข่งขันให้เปลี่ยนไปใช้กติกาอิงสากล ลูกไม้กลมวยและอื่นๆก็สูญหายไปมาก
ครูแปรงเป็นศิษย์ติดตามใกล้ชิดของ ครูทอง เชื้อไชยา ผู้สืบทอดวิชามวยไทยไชยานี้มาจากปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย (ปรมาจารย์คนสุดท้ายของวงการมวยไทย) ซึ่งได้เรียนวิชาจากพระยาวจี สัตยรักษ์เจ้าเมืองไชยาผู้เป็นพ่อ รวมทั้งได้เรียนวิชามวยโบราณจากครูอีก 13 ท่านจนแตกฉาน
วิชามวยไทยไชยานี้ นอกจากมือเท้าเข่าศอกที่เห็นได้ทั่วไปในมวยไทยกระแสหลักแล้วยังมีวิชาที่ถูกลืมอย่างการ “ทุ่ม ทับ จับ หัก” ซึ่งมีความร้ายกาจไม่แพ้วิชาการ ทุ่ม การล๊อคของศิลปะการต่อสู้อื่น หลักมวยอื่นๆ ยังมีที่เป็นคำคล้องจองแต่มีความหมายลึกซึ้งทุกคำ เช่น “ล่อ หลอก หลบ หลีก หลอกล่อ ล้อเล่น” หรือ “กอด รัด ฟัด เหวี่ยง” ซึ่งเป็นวิชาการกอดปล้ำแบบหนึ่งซึ่งหาไม่ได้แล้วในมวยไทยสมัยปัจจุบัน หรือแม้กระทั่ง “ล้ม ลุก คลุก คลาน” ซึ่งเป็นการฝึกม้วนตัว ล้มตัว
การต่อสู้ของมวยโบราณอย่างมวยไทยไชยานั้นจึงไม่จำกัดเฉพาะการยืนต่อสู้เท่านั้น การต่อสู้เมื่อจำเป็นต้องล้มลงก็ทำได้ และด้วยพื้นฐานของมวยไทยโบราณที่ถูกสร้างให้ใช้ในการศึกสงคราม การต่อสู้กับศัตรูพร้อมกันหลายคนนั้นเป็นอีกมิติหนึ่งที่ทำให้มวยไทยไชยาเป็นมวยที่ร้ายกาจ
การเรียนการสอนของมวยไทยไชยานั้นจะเป็นระเบียบระบบแบบโบราณ นักเรียนจะได้เรียนตั้งแต่พื้นฐานวิชาเรียนการป้องกันตัว “ป้อง ปัด ปิด เปิด” จนสามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างมั่นใจแล้ว ลูกไม้มวยไทยต่างๆ ก็จะค่อยได้เรียนรู้ แตกต่างจากมวยไทยกระแสหลักที่ฝึกฝนการโจมตี เตะ ต่อย ทำลาย โดยอาศัยความทนทานเข้ารับลูกเตะต่อยของคู่ต่อสู้ ดั่งที่ครูแห่งมวยไทยไชยานี้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ศิลปะการป้องกันตัวย่อมต้องป้องกันตัวได้จริง ไม่ใช้ศิลปะการแลกกันว่าใครจะทนกว่ากันก็จะเป็นผู้ชนะไป
ด้วยภูมิปัญหาของครูมวยโบราณที่สั่งสอนไม่สมบูรณ์และต้องการการแก้ไขและปรับปรุง วิชามวยไทยดั้งเดิมนั้นกลายเป็นมวยที่ร้ายกาจด้วยการใช้กลเม็ดลูกไม้และไม้เด็ดหลากหลาย กลมวยสามารถแตกขยายไปได้เสมือนไม่มีที่สิ้นสุด ในทางกลับกันการสั่งสอนวิชาที่ร้ายกาจนี้ก็ได้ฝึกฝนให้นักเรียนเป็นคนอดทน มุ่งมั่น ใจเย็น สุขุม จนในท้ายที่สุดวิชามวยแห่งการต่อสู้เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนานักเรียนให้เป็นคนดีของสังคม ที่มีสติควบคุมกายให้ประพฤติตนดี และมีครูสอนสั่ง
ครูแปรงได้วางแผนการสอนวิชาอาวุธที่เกี่ยวข้องกับมวยไทยไชยาที่รู้จักกันในชื่อ “วิชากระบี่กระบอง” ซึ่งมีวิชาเรียนดาบสองมือ มีดสั้น พลองยาว ไม้ศอก รวมถึงอาวุธไทยโบราณอื่นๆที่ไม่น่าจะหาเรียนได้ง่ายๆ เพื่อให้ครบหลักสูตรวิชาการต่อสู้และป้องกันตัวของไทยโดยแท้